เจ้าหญิงลิลลี่ในสมรภูมิโอกินาวา เรื่องเล่าแห่งความหวังและความสูญเสีย

 


I. ชื่ออันอ่อนโยนกับความจริงที่โหดร้าย

เคยได้ยินชื่อ "ฮิเมะยูริ" (Himeyuri / 姫百合) ไหมคะ? ชื่อนี้แปลว่า "เจ้าหญิงลิลลี่"  ฟังดูอ่อนโยนและสวยงามราวกับเทพนิยาย แต่เรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้ คือหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่บาดลึกที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โอกินาวา เป็นเรื่องราวที่ห่างไกลจากความอ่อนโยนเหลือเกิน ซึ่งความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างชื่อที่แสนงดงามกับชะตากรรมอันโหดร้ายนี้เอง ที่ทำให้เรื่องราวของพวกเขายังคงทรงพลังและตรึงใจผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน   

ฮิเมะยูริ กาคุโตไต (Himeyuri Gakutotai) คือชื่อที่มอบให้กับกลุ่มนักเรียนหญิงและครูอาจารย์รวม 240 ชีวิต  จากโรงเรียนสองแห่งในโอกินาวา ได้แก่ โรงเรียนสตรีฝึกหัดโอกินาวา และโรงเรียนสตรีมัธยมศึกษาตอนต้นแห่งที่หนึ่ง  นักเรียนหญิงเหล่านี้ ซึ่งบางคนมีอายุเพียง 13 ปี  ถูกระดมพลโดยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1945 เพื่อทำหน้าที่ในหน่วยพยาบาล    

บริบทของเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วง ยุทธการโอกินาวา ซึ่งถือเป็นการสู้รบครั้งใหญ่และยาวนานที่สุดในสงครามแปซิฟิก การรบครั้งนี้กินเวลานานกว่า 90 วัน  กองทัพญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะยืดการรบออกไปให้นานที่สุด เพื่อซื้อเวลาหน่วงเหนี่ยวการบุกแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ  ท่ามกลางความจำเป็นทางยุทธศาสตร์นี้ การระดมพลพลเรือน—รวมถึงนักเรียนวัยเยาว์—จึงเกิดขึ้น แม้ว่าการสู้รบครั้งนี้จะทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 200,000 คน ซึ่งเป็นชาวโอกินาวาที่เป็นพลเรือนมากกว่า 120,000 คนก็ตาม  เรื่องราวของฮิเมะยูริจึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเท่านั้น แต่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าความบ้าคลั่งของสงครามสามารถกลืนกินชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร   

II.  จากห้องเรียนสู่ถ้ำโรงพยาบาล



เรื่องราวของฮิเมะยูริเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความโหดร้ายในการใช้พลเรือนในสงคราม เนื่องจากเยาวชนเหล่านี้ถูกเรียกตัวไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยคำโกหกที่สร้างความหวังอันเป็นเท็จ

A. ความคาดหวังที่แตกสลายก่อนการเดินทาง

นักเรียนที่โรงเรียนเหล่านี้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ลัทธิทหารมีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบการศึกษา  เมื่อถูกระดมพลในเดือนมีนาคม 1945 พวกเขาถูกแจ้งข้อมูลที่คลาดเคลื่อน โดยบอกว่าจะได้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ปลอดภัยและอยู่ห่างไกลจากการสู้รบ คล้ายกับหน่วยงานกาชาด    

สิ่งที่เน้นย้ำถึงความไร้เดียงสาของนักเรียนหญิงเหล่านี้ คือการที่พวกเขามีความคาดหวังว่าจะได้กลับมาเรียนต่อ  รายละเอียดสำคัญที่บันทึกไว้คือ พวกเขาพก อุปกรณ์การเรียนและเครื่องแบบนักเรียน ติดตัวไปด้วย  การกระทำนี้สะท้อนว่าพวกเขาเชื่อมั่นในคำสัญญาของกองทัพ และมองว่าการเป็นพยาบาลแนวหน้านั้นเป็นเพียงภารกิจชั่วคราวที่รอวันกลับสู่ชีวิตปกติ ซึ่งความไร้เดียงสานี้เองที่ทำให้โศกนาฏกรรมที่พวกเขาต้องเผชิญในภายหลังยิ่งหนักหน่วงขึ้นไปอีก   

B. การประจำการในแนวหน้า: บทบาทที่โหดร้ายในความมืด



แทนที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยตามที่ถูกหลอก พวกเขาถูกส่งไปประจำการใน โรงพยาบาลสนามที่อยู่ในถ้ำ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแนวหน้า  การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยฮิเมะยูริเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มีนาคม 1945 และดำเนินไปภายใต้ไฟสงครามและการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเกือบตลอดสามเดือน    

บทบาทของนักเรียนหญิงอายุ 15-18 ปีเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น พวกเขาต้องทำหน้าที่ที่เกินกว่าวัยและประสบการณ์ เช่น การช่วยเหลือในการ ผ่าตัดและตัดแขนขา ที่กระทำอย่างหยาบๆ ในสภาพแวดล้อมที่จำกัด  พวกเขายังต้องขนส่งกระสุนและเสบียงให้กับกองทหารที่แนวหน้า และจัดการกับศพภายใต้ภารกิจที่เสี่ยงต่อชีวิตอย่างยิ่ง    


ชีวิตในถ้ำผ่าตัดอิฮาระ (Ihara Surgical Cave) นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด  พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ภาวะทุพโภชนาการ และการอยู่ร่วมกับทหารและพลเรือนที่บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตนับไม่ถ้วน  เพื่อประทังชีวิตและดูแลผู้บาดเจ็บ นักเรียนเหล่านี้ต้องจัดการกับความขาดแคลนอย่างสร้างสรรค์แต่สิ้นหวัง  พวกเขาต้องเสี่ยงภัยออกไปเก็บน้ำและปรุงข้าวกล้อง ซึ่งถูกปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาด ลูกปิงปอง (ก่อนหน้านี้ขนาดลูกกอล์ฟ) เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ป่วยเพียงวันละสองลูก  รายละเอียดเกี่ยวกับการลดขนาดอาหารลงเรื่อยๆ นี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทของพวกเขาในสภาวะสงครามที่ไร้ความหวังโดยสิ้นเชิง   

C. การสลายหน่วยและการถูกทอดทิ้ง

จุดจบของหน่วยฮิเมะยูริเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมใหญ่ที่สุด เมื่อการสู้รบใกล้ถึงจุดสิ้นสุด หน่วยฮิเมะยูริ กาคุโตไตถูก สั่งให้ยุบหน่วย อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มิถุนายน 1945    

การตัดสินใจทางทหารนี้มีความหมายมากกว่าเพียงแค่การปลดประจำการ แต่เป็นการ ทอดทิ้ง นักเรียนเหล่านี้ให้ต้องดูแลตัวเองในพื้นที่ที่ยังคงเป็นเขตสงคราม  ในเวลานั้น กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้อีกต่อไป และการถูกปล่อยตัวอย่างกะทันหันทำให้หลายคนต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่น่าเศร้า  ในที่สุด มีนักเรียนและครูอาจารย์รวม 136 ชีวิตจากหน่วยที่ถูกระดมพลเสียชีวิตลงในสมรภูมิโอกินาวา  เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่านักเรียนกลุ่มนี้ถูกปฏิบัติราวกับเป็นเพียง ทรัพยากรที่ใช้แล้วทิ้ง ในช่วงท้ายของการต่อสู้ที่กำลังจะพ่ายแพ้   

III. เกร็ดความรู้และที่น่าสนใจ

A. ที่มาของชื่อ "เจ้าหญิงลิลลี่"

ชื่อ "ฮิเมะยูริ" (Princess Lily) ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ไม่ได้ถูกตั้งโดยหน่วยงานราชการทหาร แต่เกิดจากการรวมกันของชื่อหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนทั้งสองแห่งที่รวมตัวกันเป็นหน่วย  โดยคำว่า Hime มาจากหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนหนึ่ง และ Yuri มาจากอีกโรงเรียนหนึ่ง  การรวมกันของชื่อนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันและภูมิหลังทางการศึกษาที่พวกเธอมีร่วมกัน ก่อนที่ชีวิตจะถูกพลิกผันเข้าสู่สนามรบ   

B. ความสูญเสียที่ใหญ่กว่าตัวเลขทางการ



แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากหน่วยกาคุโตไตที่ถูกระดมพลจะอยู่ที่ 136 คน แต่สิ่งที่สำคัญคือการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน  บน อนุสาวรีย์ฮิเมะยูริ มีการจารึกชื่อของผู้เสียชีวิตรวมถึง 227 ชีวิต  ซึ่งรวมถึงนักเรียนและครูอีก 91 ชีวิตที่เสียชีวิตในช่วงยุทธการโอกินาวา แม้จะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหน่วยพยาบาลอย่างเป็นทางการก็ตาม  ตัวเลขนี้เน้นย้ำว่าสงครามไม่ได้จำกัดความเสียหายอยู่แค่แนวหน้าเท่านั้น แต่ได้ทำลายเยาวชนและโครงสร้างทางสังคมของโอกินาวาไปทั้งระบบ    

C. การยืนหยัดเพื่อสันติภาพผ่านพิพิธภัณฑ์

หลังจากสงครามยุติ ผู้รอดชีวิตหลายคนต้องเผชิญกับบาดแผลทางใจจนนำไปสู่ "ความเงียบอันยาวนาน"  อย่างไรก็ตาม ศิษย์เก่าฮิเมะยูริได้ลุกขึ้นมาเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของตนเอง และได้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิเมะยูริ ขึ้นในปี 1989  การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์นี้เป็นความพยายามร่วมกันที่จะต่อสู้กับการหลงลืมตามกาลเวลา  และเป็นการส่งสารสันติภาพผ่านการ "เปิดโปงความโหดร้ายและความบ้าคลั่งของสงคราม"  การกระทำนี้ถือเป็นความมุ่งมั่นที่ไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อความยุติธรรม    

ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์นี้จัดแสดงภาพจริงของยุทธการโอกินาวาจากมุมมองของนักเรียนกลุ่มนี้ โดยมีการใช้เทคโนโลยีและหลักฐานที่จับต้องได้ เช่น วิดีโอคำให้การของผู้รอดชีวิต ภาพถ่ายในช่วงสงคราม และแบบจำลองขนาดเท่าจริงของถ้ำผ่าตัด  แม้ว่าการบรรยายเรื่องราวจากอดีตนักเรียนโดยตรงได้สิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 แต่คำให้การในรูปแบบวิดีโอที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษยังคงเป็นหัวใจสำคัญของนิทรรศการ เพื่อให้เรื่องราวส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ทั่วโลก    

D. ข้อปฏิบัติพิเศษในห้องจัดแสดง



หนึ่งในรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์คือข้อกำหนดที่ระบุว่า ห้ามถ่ายภาพในห้องจัดแสดงนิทรรศการโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเด็ดขาด  กฎนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการปกป้องวัตถุจัดแสดง และที่สำคัญคือเพื่อรักษาบรรยากาศที่เงียบสงบและให้เกียรติแก่ความทรงจำภายในห้อง  โดยเฉพาะในห้องสุดท้ายที่จัดแสดงภาพถ่ายและชื่อของผู้เสียชีวิต ซึ่งมักเป็นส่วนที่สะเทือนใจที่สุด  ข้อบังคับนี้จึงเป็นการบังคับให้ผู้เข้าชมต้องอยู่ในปัจจุบันขณะและซึมซับเรื่องราวด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริง   


เรื่องราวของฮิเมะยูริ กาคุโตไต คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เตือนเราถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายที่สุดของการทหารที่ให้ข้อมูลบิดเบือนและการใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือในสงคราม  นักเรียนที่คาดหวังว่าจะได้กลับไปสวมชุดนักเรียนอีกครั้ง กลับต้องเผชิญกับนรกบนดินและความตายอันโดดเดี่ยว    

ความมุ่งมั่นของผู้รอดชีวิตที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้  เพื่อ "ไม่ให้สงครามเกิดขึ้นอีกในอนาคต"  คือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด และเป็นเหตุผลที่เราต้องไม่ปล่อยให้ความทรงจำเหล่านี้เลือนหายไป    

หากท่านผู้อ่านได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวเหล่านี้ การเรียนรู้เพิ่มเติมถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิเมะยูริได้ที่ https://www.himeyuri.or.jp/en/  หากมีโอกาสเดินทางไปโอกินาวา พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ 671-1 อิฮาระ เมืองอิโตมัน และเปิดทำการทุกวัน  แม้พิพิธภัณฑ์จะปิด อนุสาวรีย์ฮิเมะยูริก็ยังเปิดให้เข้าชมเพื่อแสดงความเคารพได้เสมอ    

เรื่องราวของเจ้าหญิงลิลลี่กลุ่มนี้สอนให้เรารู้ว่า สันติภาพไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง แต่เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการดูแลและปกป้องไว้ด้วยการระลึกถึงราคาค่างวดที่สูงลิ่วของความขัดแย้งเสมอ

Cr. pacificwarmuseum , himeyuri , wikipedia , trueid

ถ้าชอบคอนเท้นหรือเรื่องราวแบบนี้สนับสนุน Blog หรือ Page เล็ก ๆ หรือค่ากาแฟให้ได้นะครับ 💗💗 


ใหม่กว่า เก่ากว่า