วันเปิดตัวของ Final Fantasy 7 : ก้าวกระโดดแห่งยุคสมัยและความประทับใจที่ไม่ลืมเลือน

 


วันที่ 31 มกราคม 1997 เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์เกม เพราะเป็นวันที่ Final Fantasy VII (FF7) เปิดตัวครั้งแรกบนเครื่อง PlayStation (PS1) นี่เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของซีรีส์ Final Fantasy จากกราฟิกแบบ 2D สู่ 3D CG เต็มรูปแบบ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนเกมทั่วโลก


Final Fantasy 7 กับการปฏิวัติกราฟิก

ก่อนหน้านี้ เกม Final Fantasy ใช้กราฟิกแบบพิกเซลหรือ sprite-based แต่ FF7 นำเสนอโมเดลตัวละครแบบ 3D polygon พร้อมฉากหลังที่ใช้ pre-rendered backgrounds เพื่อสร้างโลกของ Midgar ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและชีวิตชีวา เมืองแห่งนี้ให้ความรู้สึกสมจริงและอลังการ ทำให้เกมเมอร์ในยุคนั้นต้องทึ่งไปตาม ๆ กัน





โลกของ Final Fantasy 7: จากแฟนตาซีสู่ความเป็นจริงมากขึ้น

แม้ว่าภาคก่อนหน้าอย่าง Final Fantasy VI จะมีโลกที่มีกลิ่นอาย steampunk อยู่แล้ว แต่ FF7 ยกระดับไปอีกขั้นด้วยบรรยากาศที่ดู ทันสมัยและสมจริงยิ่งขึ้น มีการนำเสนอองค์ประกอบจากโลกจริง เช่น รถจักรยานยนต์ รถไฟใต้ดิน และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในเกมเรียกว่าระบบ PHS (Party Hensei System) โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Personal Handy-phone System (PHS) ที่เคยเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น




ศัตรูของ FF7: จากจอมมารสู่บริษัทขนาดยักษ์

ต่างจากเกมภาคก่อน ๆ ที่มักมีวายร้ายเป็นจอมเวทย์หรือจักรพรรดิ์เผด็จการ FF7 นำเสนอศัตรูหลักเป็น "Shinra Electric Power Company" บริษัทยักษ์ใหญ่ที่แสวงหาพลังงานจาก Lifestream อย่างไร้จริยธรรม แนวคิดนี้ให้ความรู้สึกสมจริงและสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเมืองในโลกปัจจุบัน เมื่อผู้เล่นต้องบุกเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของ Shinra ก็จะพบพนักงานออฟฟิศที่ดูเหมือนคนปกติทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่าเราไม่ได้สู้กับปีศาจ แต่กำลังเผชิญหน้ากับระบบทุนนิยมที่โหดร้ายแทน



Materia System: หัวใจของระบบการต่อสู้

หนึ่งในจุดเด่นของเกมนี้คือ Materia System ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นสามารถติดตั้ง materia ลงในอาวุธและชุดเกราะเพื่อปลดล็อกเวทมนตร์ ความสามารถพิเศษ และสกิลใหม่ ๆ ได้ ระบบนี้ทำให้เกิด กลยุทธ์การต่อสู้ที่ลึกซึ้ง เพราะการเลือกใช้ materia อย่างชาญฉลาดสามารถเปลี่ยนแนวทางการเล่นได้อย่างสิ้นเชิง

หนึ่งในคอมโบที่โหดที่สุดคือ "Knights of the Round" + "W-Summon" ที่สามารถทำดาเมจมหาศาลจนศัตรูแทบไม่เหลือโอกาสรอด



Limit Break: พลังที่ระเบิดออกมาเมื่อถึงขีดจำกัด

อีกหนึ่งระบบที่น่าตื่นเต้นใน FF7 คือ Limit Break ซึ่งเป็นท่าไม้ตายสุดอลังการของแต่ละตัวละครที่สามารถใช้ได้เมื่อได้รับความเสียหายมากพอ ท่าที่โดดเด่นที่สุดคือ "Omnislash" ของ Cloud Strife ที่กลายเป็นหนึ่งในสกิลที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์เกม RPG




Final Fantasy 7 และเกมสปินออฟ

FF7 ไม่เพียงแต่เป็นเกมเดียว แต่ยังมีสปินออฟหลายเกม เช่น:

  • Final Fantasy VII: Crisis Core (PSP) – เนื้อเรื่องของ Zack Fair

  • Final Fantasy VII: Dirge of Cerberus (PS2) – เรื่องราวของ Vincent Valentine

  • Final Fantasy VII: Advent Children – ภาพยนตร์ CG ที่ดำเนินเรื่องต่อจากเกมหลัก


Final Fantasy 7 รีเมคและอนาคตของซีรีส์

ความนิยมของ FF7 ทำให้ Square Enix ตัดสินใจสร้าง Final Fantasy VII Remake ซึ่งเปิดตัวภาคแรกในปี 2020 บน PS4 และล่าสุดในปี 2024 Final Fantasy VII Rebirth กำลังจะวางจำหน่ายบน PS5 รวมถึงเวอร์ชัน PC ผ่าน Steam และ Epic Games Store ในปี 2025

Cr. famitsu

ด้วยเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้ง ตัวละครที่มีมิติ และระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยม Final Fantasy 7 ยังคงเป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แม้ว่าจะผ่านไปเกือบสามทศวรรษแล้ว แต่ความนิยมของมันยังคงไม่ลดลงเลยละครับ

ใครสนใจบทสรุปเกม Final Fantasy VII Rebirth แบบสีสันสวยงามอย่าพลาดในลิ้งนี้เลยนะครับ
















ใหม่กว่า เก่ากว่า