เปิดแฟ้มคดีฆาตกรต่อเนื่องที่น่ากลัวที่สุดแห่งยุค 70
เมื่อพูดถึงฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ ชื่อของ "เท็ด บันดี้" มักจะถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะความโหดเหี้ยมของเขาเท่านั้น แต่เพราะภาพลักษณ์ของเขาที่เป็น "สุภาพบุรุษหน้าตาดี มีเสน่ห์ ฉลาด มีการศึกษา" ตรงข้ามกับภาพจำของฆาตกรทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ในบทความนี้ เราจะพาคุณผู้อ่านย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 เพื่อศึกษาคดีที่ทำให้อเมริกาต้องตื่นตระหนก และเปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมต่อภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบของคนธรรมดา
ชีวประวัติอันซับซ้อน: จากเด็กชายธรรมดาสู่อาชญากรโรคจิต
กำเนิดชีวิตที่กำกวม
เท็ด บันดี้ หรือชื่อจริง ธีโอดอร์ โรเบิร์ต โคเวลล์ เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1946 ที่เมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนต์ เรื่องราวของเขาเริ่มต้นด้วยความลับในครอบครัว เมื่อมารดาของเขา หลุยส์ โคเวลล์ ตั้งครรภ์นอกสมรส และเพื่อปกปิดความอับอาย เธอจึงแกล้งทำเป็นว่าเท็ดเป็นน้องชายของเธอ ทำให้เท็ดเติบโตขึ้นมาโดยเข้าใจว่าแม่ของเขาคือพี่สาว และคุณปู่คุณย่าคือพ่อแม่
นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า การค้นพบความจริงในภายหลังเกี่ยวกับกำเนิดของตัวเอง อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของบันดี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเหตุผลเดียวก็ตาม
สัญญาณเตือนตั้งแต่วัยเด็ก
มีเรื่องเล่าจากญาติของบันดี้ว่า ตั้งแต่เขาอายุเพียง 3 ขวบ เขาแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ที่น่ากังวล เช่น การนำมีดครัวหลายเล่มมาวางรอบตัวคุณป้าที่กำลังนอนหลับ แล้วยืนมองด้วยรอยยิ้มที่น่าขนลุก
เมื่ออายุมากขึ้น บันดี้เริ่มแสดงความสนใจผิดปกติในเรื่องสื่อลามกและความรุนแรง แม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัยและเรียนหนังสือเก่ง
จุดเปลี่ยนทางอารมณ์
บันดี้เป็นนักศึกษาที่มีศักยภาพสูง เขาได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน มหาวิทยาลัยเทมเปิล และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เขามีความฝันที่จะเป็นนักกฎหมายและนักการเมือง
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อ เอลิซาเบธ เคล็พเฟอร์ แฟนสาวคนแรกที่เขาหลงรักอย่างลึกซึ้ง ตัดสินใจเลิกรากับเขาในปี 1968 การพลัดพรากครั้งนี้ทำให้บันดี้เสียใจอย่างรุนแรง และนักอาชญาวิทยาหลายคนเชื่อว่านี่อาจเป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่การฆาตกรรมในเวลาต่อมา โดยเฉพาะเมื่อสังเกตว่าเหยื่อหลายรายของเขามีลักษณะคล้ายคลึงกับเอลิซาเบธ ทั้งในแง่ของรูปร่างและทรงผม
ปีแห่งความหวาดกลัว: การฆาตกรรมที่ส่งผลสะเทือนทั่วอเมริกา
จุดเริ่มต้นของความโหดร้าย
แม้บันดี้จะสารภาพเฉพาะตอนใกล้ถูกประหารชีวิต แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเหยื่อรายแรกของเขาคือ ลินดา แอนน์ ฮีลี่ นักศึกษามหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่หายตัวไปในคืนวันที่ 31 มกราคม 1974 จากนั้นไม่นาน ผู้หญิงสาวคนอื่นๆ ก็เริ่มหายตัวไปในลักษณะคล้ายกัน
ดอนนา แมนสัน, ซูซาน แรนคอร์ต, โรบิน ฮอร์ตัน และอีกหลายชีวิต ต่างตกเป็นเหยื่อของบันดี้ ทุกคนมีลักษณะร่วมกันที่น่าสนใจ: เป็นหญิงสาวผมดำยาวแสกกลาง และส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
เทคนิคการล่าเหยื่อที่น่ากลัว
บันดี้มีเทคนิคการล่าเหยื่อที่แยบยล เขามักจะปลอมตัวเป็นคนพิการ โดยสวมเฝือกแขนข้างหนึ่ง หรือแกล้งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอความช่วยเหลือจากเหยื่อ เมื่อเหยื่อเข้าไปช่วย เขาก็จะทำร้ายจนหมดสติ แล้วลากเข้าไปในรถ Volkswagen Beetle สีเบจของเขา
ความโหดเหี้ยมของบันดี้เป็นเรื่องที่น่าสยดสยอง เขาไม่เพียงแต่ฆ่าเหยื่อ แต่ยังข่มขืน ทรมาน และกระทำชำเราศพหลังเสียชีวิต บางครั้งเขาเก็บศพไว้หลายวันก่อนจะทิ้งในพื้นที่ห่างไกล
การค้นพบศพจำนวนมาก
ในเดือนกรกฎาคม 1974 ตำรวจเริ่มพบศพจำนวนมากบนภูเขาเทเลอร์ ใกล้กับซีแอตเทิล ทำให้เริ่มมีการเชื่อมโยงว่าอาจเป็นฝีมือของฆาตกรรายเดียวกัน จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีผู้รอดชีวิตจากการโจมตีของบันดี้ คาโรล ดาเรนช์ นักศึกษาที่หลบหนีออกจากรถของเขาได้ และให้คำบรรยายลักษณะที่ตรงกับบันดี้
การจับกุม การหลบหนี และความกล้าหาญที่ผิดปกติ
การจับกุมครั้งแรก
ในเดือนสิงหาคม 1975 ตำรวจในรัฐยูทาห์ตรวจพบรถ Volkswagen ที่มีลักษณะตรงกับคำให้การของพยาน เมื่อตรวจค้นรถ พวกเขาพบอุปกรณ์น่าสงสัยหลายอย่าง ทั้งกุญแจมือ ผ้าปิดตา เชือก และชุดปลอมตัว บันดี้ถูกจับในข้อหาลักพาตัว แต่ตำรวจยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะกล่าวหาเขาในคดีฆาตกรรมอื่นๆ
การหลบหนีที่ไม่น่าเชื่อ
เรื่องราวของบันดี้ยิ่งน่าสนใจเมื่อเขาสามารถหลบหนีจากการคุมขังได้ถึงสองครั้ง:
- การหลบหนีครั้งแรก: ในเดือนมิถุนายน 1977 บันดี้กระโดดออกจากหน้าต่างห้องสมุดของศาลในเมืองแอสเพน รัฐโคโลราโด เขาหลบหนีได้ 6 วันก่อนถูกจับอีกครั้ง
- การหลบหนีครั้งที่สอง: เพียง 6 เดือนต่อมา ในวันที่ 30 ธันวาคม 1977 หลังจากลดน้ำหนักตัวอย่างมาก บันดี้บีบตัวผ่านช่องระบายอากาศบนเพดานห้องขัง และหนีไปได้ไกลถึงรัฐฟลอริดา
การก่อเหตุสุดท้ายที่ฟลอริดา
เมื่อไปถึงฟลอริดา บันดี้ไม่เสียเวลาที่จะก่อเหตุอีกครั้ง ในคืนวันที่ 15 มกราคม 1978 เขาบุกเข้าไปในหอพักนักศึกษาหญิง Chi Omega ที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา สเตท และสังหารนักศึกษาสองคนคือ ลิซา เลวี่ และ มาร์กาเร็ต โบว์แมน ไม่นานหลังจากนั้น เขายังได้ลักพาตัวและสังหารเด็กหญิงอายุ 12 ปี ชื่อ คิมเบอร์ลี่ ลีช ซึ่งนับเป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดและเป็นเหยื่อรายสุดท้ายที่ทราบชื่อของเขา
การจับกุมครั้งสุดท้าย การพิจารณาคดี และบทสรุปของฆาตกร
จุดจบของการหลบหนี
ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1978 ตำรวจในเมืองเพนซาโคลา ฟลอริดา สังเกตเห็นรถยนต์ที่ขับขี่อย่างผิดปกติ เมื่อหยุดตรวจสอบพบว่าเป็นรถที่ถูกรายงานว่าถูกขโมย เมื่อตำรวจขอตรวจบัตรประจำตัว ชายผู้นั้นพยายามหนี แต่ถูกจับได้ในที่สุด และการตรวจสอบลายนิ้วมือยืนยันว่าเขาคือ เท็ด บันดี้
การพิจารณาคดีที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์
การพิจารณาคดีของบันดี้ในฟลอริดาเป็นหนึ่งในการพิจารณาคดีแรกๆ ที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ในสหรัฐฯ ทำให้คดีนี้ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมาก บันดี้ตัดสินใจว่าความให้ตัวเอง แม้จะไม่มีประสบการณ์ทางกฎหมายจริงจัง และนั่นทำให้การพิจารณาคดีของเขากลายเป็นการแสดงที่ชวนให้ตกตะลึง
เสน่ห์และความฉลาดของบันดี้ยังคงปรากฏชัดแม้ในห้องพิจารณาคดี ผู้พิพากษา เอ็ดเวิร์ด คาวี่ ถึงกับกล่าวประโยคอันเป็นที่จดจำว่า: "คุณเป็นชายหนุ่มที่ฉลาดและมีความสามารถ คุณน่าจะเป็นทนายความที่ดี แต่คุณเลือกที่จะไปในเส้นทางอื่น"
การสารภาพและการประหารชีวิต
หลังการพิจารณาคดีหลายครั้ง บันดี้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาให้สัมภาษณ์กับนักจิตวิทยา เจมส์ ดอบสัน โดยอ้างว่าสื่อลามกและความรุนแรงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเขา
บันดี้เริ่มสารภาพการฆาตกรรมกว่า 30 คดี แต่นักวิเคราะห์คดีอาชญากรรมบางคนเชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงถึง 100 คน เท็ด บันดี้ ถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในวันที่ 24 มกราคม 1989 ที่เรือนจำฟลอริดา เสตทไพรซั่น คำพูดสุดท้ายของเขาคือ "ผมอยากจะบอกว่า ผมรักครอบครัวของผมและผมจะพบพวกเขาในสวรรค์"
ผลกระทบของคดีบันดี้ต่อการสืบสวนอาชญากรรม
การปฏิวัติวงการสืบสวน
คดีของเท็ด บันดี้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการสืบสวนอาชญากรรม:
- การทำโปรไฟล์อาชญากร: คดีของบันดี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาแนวคิด "การทำโปรไฟล์อาชญากร" (Criminal Profiling) ในเอฟบีไอ โดยบันดี้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการเข้าใจจิตใจของฆาตกรต่อเนื่อง
- หลักฐานทางทันตกรรม: การพิจารณาคดีของบันดี้ทำให้เกิดการยอมรับหลักฐานทางทันตกรรม (รอยฟัน) ในศาลเป็นครั้งแรก เมื่อผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่ารอยกัดบนร่างกายเหยื่อตรงกับฟันของบันดี้
- ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง: คดีนี้ทำให้เราเข้าใจรูปแบบของฆาตกรต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะประเภทที่มีเสน่ห์และดูเป็นคนปกติภายนอก ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าฆาตกรต่อเนื่องไม่จำเป็นต้องดูน่ากลัวหรือผิดปกติเสมอไป
อิทธิพลต่อวัฒนธรรมป๊อป
คดีของบันดี้เปลี่ยนแปลงวิธีที่สื่อรายงานข่าวอาชญากรรม และสร้างความสนใจในเรื่อง "ฆาตกรต่อเนื่อง" ในวงกว้าง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป มีหนังสือ ภาพยนตร์ และซีรีส์มากมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีนี้ เช่น:
- ภาพยนตร์: "Extremely Wicked, Shockingly Evil and Vile" (2019) นำแสดงโดย แซค เอฟรอน
- ซีรีส์สารคดี: "Conversations with a Killer: The Ted Bundy Tapes" (2019) บน Netflix
- หนังสือ: "The Stranger Beside Me" โดย แอนน์ รูล นักเขียนและเพื่อนร่วมงานของบันดี้
คดีของบันดี้เตือนใจเราว่า ภัยอันตรายอาจมาในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง บุคคลที่ดูน่าไว้ใจที่สุด มีเสน่ห์ และดูเป็นคนปกติ อาจซ่อนความมืดมนที่น่ากลัวไว้ภายใน
การที่บันดี้สามารถหลอกล่อเหยื่อได้อย่างง่ายดายด้วยรูปลักษณ์ที่น่าไว้ใจ ทำให้เกิดการตระหนักรู้ใหม่เกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิง และนำไปสู่การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยและสถานที่สาธารณะมากขึ้น
สรุป: ปีศาจในคราบสุภาพบุรุษ
กว่า 40 ปีหลังจากการประหารชีวิตของเท็ด บันดี้ คดีของเขายังคงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ และเตือนใจเราว่าความชั่วร้ายมักไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนในรูปลักษณ์ภายนอก
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการระลึกถึงเหยื่อทั้งหมดของเขา พวกเธอคือผู้หญิงที่มีความฝัน มีครอบครัว มีอนาคต ซึ่งถูกพรากไปอย่างโหดร้ายและไร้เหตุผล เรื่องราวของพวกเธอควรได้รับการจดจำไม่น้อยไปกว่าฆาตกรที่คร่าชีวิตพวกเธอ
อ้างอิง
- Rule, A. (2000). The Stranger Beside Me: Ted Bundy The Shocking Inside Story. New York: W. W. Norton & Company.
- Michaud, S. G., & Aynesworth, H. (1999). The Only Living Witness: The True Story of Serial Sex Killer Ted Bundy. Irving, TX: Authorlink Press.
- Kendall, E. (1981). The Phantom Prince: My Life with Ted Bundy. Seattle: Madrona Publishers.
- FBI Records: The Vault - Theodore Robert Bundy. Federal Bureau of Investigation.
- Sullivan, K. M. (2009). The Bundy Murders: A Comprehensive History. Jefferson, NC: McFarland & Company.