บทนำ
ณ วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2011 ช่วงบ่ายแสงแดดส่องใสในกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ผู้คนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสุดสัปดาห์ที่แสนสงบ ไม่มีใครคาดคิดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศที่เคยเป็นสวรรค์แห่งสันติภาพจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป 77 คน และทำให้อีกกว่า 300 คนบาดเจ็บ แต่ยังเปลี่ยนแปลงมุมมองของโลกต่อความปลอดภัย ความเกลียดชัง และความหมายของการเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
ใครคือ Anders Behring Breivik?
Anders Behring Breivik เกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1979 ในครอบครัวชั้นกลางในออสโล พ่อทำงานการทูต แม่เป็นพยาบาล ภายนอกดูเหมือนครอบครัวปกติดี แต่ลึกๆ แล้วมีความแตกหักซ่อนอยู่
พ่อแม่ของเขาหย่าร้างเมื่อเขาอายุเพียง 1 ขวบ เขาถูกเลี้ยงดูโดยแม่เพียงคนเดียว ในวัยรุ่น เบรวิกเริ่มติดเกมส์คอมพิวเตอร์อย่างหนัก โดยเฉพาะ World of Warcraft และ Call of Duty บางทีเล่นได้วันละ 16 ชั่วโมง
การก่อตัวของแนวคิดขวาจัด
ช่วงปี 2000 ต้นๆ เบรวิกเริ่มดูดซับแนวคิดขวาจัดผ่านอินเทอร์เน็ต เขาเชื่อทฤษฎี "Eurabia" ที่อ้างว่าผู้อพยพมุสลิมกำลัง "รุกราน" และ "แทนที่" คนยุโรปพื้นเมือง
เขาอ่านงานเขียนของนักเขียนขวาจัดอย่าง Bat Ye'or และ Fjordman รวมถึงดูดซับแนวคิดต่อต้านมุสลิม ต่อต้านพหุวัฒนธรรม และต่อต้านการเมืองแบบเสรีนิยม
ปี 2009-2011 เขาใช้เวลาเขียนเอกสาร "2083: A European Declaration of Independence" ความยาว 1,518 หน้า เต็มไปด้วยแนวคิดเหยียดเชื้อชาติและแผนการก่อการร้าย
วันแห่งโศกนาฏกรรม: 22 กรกฎาคม 2011
15:17 น. - ระเบิดใจกลางออสโล
เบรวิกขับรถตู้สีขาวที่บรรทุกระเบิดหนัก 950 กิโลกรัม (ทำจากปุ๋ยและน้ำมันดีเซล) มาจอดหน้าอาคารสำนักงานนายกรัฐมนตรีในออสโล
เมื่เวลา 15:17 น. ระเบิดได้ระเบิดขึ้น ส่งเสียงสนั่นไปทั่วเมือง กระจกหน้าต่างแตกกระจาย อาคารรัฐบาลกลางได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
8 คนเสียชีวิต จากระเบิดครั้งนี้ รวมถึง:
- เจ้าหน้าที่รัฐบาล
- พนักงานออฟฟิศ
- คนผ่านไปมาที่บริเวณนั้น
16:25 น. - การเดินทางสู่อูเตอยา
ขณะที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยกำลังเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยในออสโล เบรวิกได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดตำรวจปลอม และขับรถไปยังท่าเรือ Utstranda
เขาโกหกเจ้าหน้าที่ว่าเป็น "ตำรวจมาตรวจสอบความปลอดภัยหลังเหตุระเบิด" และขอใช้เรือข้ามไปเกาะอูเตอยา
17:18 น. - 72 นาทีแห่งความโหดร้าย
เกาะอูเตอยา ห่างจากออสโล 40 กิโลเมตร กำลังจัดค่ายฤดูร้อนของเยาวชนพรรคแรงงานนอร์เวย์ มีเด็กหนุ่มสาววัย 14-25 ปี จำนวน 564 คน
เมื่อเบรวิกเหยียบเท้าขึ้นเกาะ เขาพกปืน Ruger Mini-14 และปืนพก Glock 17 พร้อมกระสุนจำนวนมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ 72 นาทีแห่งฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ:
17:22 น. - เขาเริ่มยิงใส่กลุมเยาวชนที่กำลังฟังบรรยาย 17:25-18:00 น. - เขาเดินไปทั่วเกาะอย่างเป็นระบบ ใช้เสียงตำรวจหลอกเด็กๆ ให้ออกมา แล้วยิงใส่ 18:00-18:27 น. - เด็กๆ หลายคนกระโดดลงน้ำหนี บางคนว่ายน้ำไปฝั่งได้ แต่หลายคนถูกยิงตายกลางน้ำ
18:27 น. - การจับกุม
หน่วย Delta Force ของตำรวจนอร์เวย์เดินทางมาถึงเกาะ เบรวิกยอมจำนนโดยไม่ต่อต้าน
ผลรวมของความสูญเสีย:
- เกาะอูเตอยา: 69 คนเสียชีวิต (อายุน้อยสุดเพียง 14 ปี)
- ออสโล: 8 คนเสียชีวิต
- รวมทั้งสิ้น: 77 คนเสียชีวิต, 319 คนบาดเจ็บ
กระบวนการยุติธรรม
การพิจารณาคดี 2012
การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น 16 เมษายน 2012 ที่ศาล Oslo District Court เบรวิกไม่ได้ปฏิเสธการกระทำ เขายืนยันว่าสิ่งที่ทำคือ "การรักษาชาติ"
ประเด็นใหญ่ในคดีคือ เขามีสุขภาพจิตดีหรือไม่?
- ทีมแพทย์ชุดแรก: วินิจฉัยว่าเป็น "โรคจิตเภท paranoid"
- ทีมแพทย์ชุดที่สอง: เห็นว่ามีบุคลิกภาพผิดปกติแต่ไม่เป็นโรคจิต
คำตัดสิน
24 สิงหาคม 2012 ศาลตัดสินว่า เบรวิกมีสุขภาพจิตปกติและรับผิดทางอาญาได้
โทษ: จำคุก 21 ปี (โทษสูงสุดของนอร์เวย์) พร้อมโอกาสขยายโทษหากยังเป็นอันตราย
ปัจจุบันเขาถูกคุมขังที่เรือนจำ Skien ในห้องขังพิเศษ 3 ห้อง ตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนของนอร์เวย์
ผลกระทบและการฟื้นตัว
การตอบสนองของสังคมนอร์เวย์
นายกรัฐมนตรี เจนส์ สโตลเทนแบร์ก ได้กล่าวในสุนทรพจนที่มีชื่อเสียงว่า:
"เราจะตอบโต้ด้วยประชาธิปไตยมากขึ้น ความเปิดเผยมากขึ้น และความเป็นมนุษย์มากขึ้น"
นอร์เวย์เลือกที่จะไม่ยอมให้ความกลัวมาเปลี่ยนแปลงค่านิยมของพวกเขา
มาตรการป้องกันใหม่
- ตำรวจที่เคยไม่พกปืน เริ่มพกปืนในสถานการณ์พิเศษ
- เพิ่มความปลอดภัยในอาคารรัฐบาล
- ปรับปรุงระบบการสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน
การรำลึกและการเยียวยา
- 22. juli-senteret (ศูนย์ 22 กรกฎาคม) ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต
- วันที่ 22 กรกฎาคมกลายเป็นวันรำลึกชาติ
- ผู้รอดชีวิตหลายคนกลายเป็นนักกิจกรรมเพื่อสันติภาพ
บทเรียนสำคัญ
1. อันตรายของความเกลียดชังออนไลน์
การแพร่กระจายของแนวคิดขวาจัดในโลกออนไลน์สามารถผลักดันคนธรรมดาให้ไปทำสิ่งโหดร้ายได้
2. ความแข็งแกร่งของประชาธิปไตย
ระบบยุติธรรมที่เน้นการฟื้นฟูมากกว่าการแก้แค้น แสดงถึงความมั่นคงของค่านิยมประชาธิปไตย
3. การตอบสนองต่อความรุนแรง
การตอบโต้ด้วยการเปิดกว้างมากขึ้น ไม่ใช่การปิดกั้นและแบ่งแยก
4. ความสำคัญของการรำลึก
การจดจำผู้เสียชีวิตและเรียนรู้จากอดีต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
สรุป
13 ปีผ่านมาแล้ว เหตุการณ์ 22/7 ยังคงเป็นเรื่องเศร้าที่นอร์เวย์และโลกจะไม่มีวันลืม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องของความหวัง
ความหวังที่ว่าแม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด สังคมมนุษย์ยังสามารถเลือกที่จะยืนหยัดเพื่อค่านิยมที่ดีงาม และสร้างโลกที่ดีกว่าได้
"ดอกกุหลาบจะเอาชนะปืน" - คำขวัญที่นอร์เวย์ใช้หลังเหตุการณ์นี้ ยังคงดังก้องอยู่จนทุกวันนี้
อ้างอิง 01. "One of Us: The Story of Anders Breivik" - Åsne Seierstad 02. Norway Police Security Service (PST) Official Reports 03. Oslo District Court Records - Anders Breivik Trial (2012) 04. "A Utøya Survivor: The Testimony" - Various survivors' accounts 05. Norwegian Government Official Commission Report on July 22, 2011 06. BBC News Archives - Norway Attacks Coverage 07. The Guardian - Long-term coverage of the aftermath 08. NRK (Norwegian Broadcasting) Documentary Archives 09. "22 July" Netflix Documentary and various international documentaries 10. Academic journals on terrorism and Norwegian society post-2011