3 คืนนองเลือด: เมื่อ Sabra และ Shatila กลายเป็นสนามประหาร
16-18 กันยายน 1982 - วันที่ประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางถูกเขียนด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์ เมื่อค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์สองแห่งในเบรุตตะวันตก ประเทศเลบานอน กลายเป็นสถานที่ของการสังหารหมู่ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20
ในช่วงเวลา 62 ชั่วโมงนั้น ผู้คนประมาณ 800-3,500 คน (ตัวเลขแตกต่างกันตามแหล่งข้อมูล) ถูกสังหารอย่างเป็นระบบ ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนชรา - พลเรือนที่ไม่มีอาวุธป้องกันตัว
ภูมิหลัง: เมื่อเลบานอนกลายเป็นสมรภูมิ
เพื่อเข้าใจโศกนาฏกรรมนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูภาพใหญ่ของความขัดแย้งในภูมิภาค:
1948-1970s: การอพยพครั้งใหญ่ หลังการก่อตั้งรัฐอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนต้องอพยพมาอาศัยในประเทศอาหรับข้างเคียง รวมทั้งเลบานอน ค่าย Shatila ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 ตามด้วย Sabra ทั้งสองค่ายตั้งอยู่ในเบรุตตะวันตก
1975-1982: สงครามกลางเมืองเลบานอน เลบานอนแตกแยกเป็นกลุ่มต่างๆ - คริสเตียนมาโรไนต์, มุสลิมซุนนี, มุสลิมชีอะห์, ดรูซ และชาวปาเลสไตน์ แต่ละกลุ่มมีกองกำลังติดอาวุธของตัวเอง
มิถุนายน 1982: อิสราเอลบุกเลบานอน ภายใต้ "Operation Peace for Galilee" อิสราเอลบุกเข้าเลบานอนเพื่อขับไล่ PLO (องค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์) ที่ใช้พื้นที่ภาคใต้เลบานอนเป็นฐานโจมตีอิสราเอล
21 สิงหาคม - 10 กันยายน 1982: PLO ถอนกำลัง หลังการเจรจา นักรบ PLO ประมาณ 14,000 คน ออกจากเลบานอน เหลือเพียงพลเรือนในค่ายผู้ลี้ภัย
จุดเปลี่ยน: การลอบสังหารที่จุดชนวนโศกนาฏกรรม
14 กันยายน 1982 - Bashir Gemayel ประธานาธิบดีคนใหม่ของเลบานอน ถูกลอบสังหารด้วยระเบิด เขาเป็นผู้นำกลุ่ม Phalangist (คริสเตียนมาโรไนต์) และเป็นพันธมิตรของอิสราเอล
การตายของ Bashir ทำให้กลุ่ม Phalangist โกรธแค้นและต้องการแก้แค้น พวกเขาโทษชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นผู้รับผิดชอบ
15 กันยายน - กองทัพอิสราเอลภายใต้การนำของ Ariel Sharon (รัฐมนตรีกลาโหม) เข้ายึดเบรุตตะวันตก โดยอ้างว่าต้องการ "รักษาความสงบ"
62 ชั่วโมงแห่งความตาย
16 กันยายน เวลา 18:00 น.
- กลุ่ม Phalangist ประมาณ 150 คน เข้าสู่ค่าย Sabra และ Shatila
- กองทัพอิสราเอลล้อมค่ายและยิงพลุส่องสว่างตลอดคืน
- การสังหารเริ่มขึ้นทันที เริ่มจากการเคาะประตูบ้านแล้วยิงทุกคนที่พบ
17 กันยายน
- การสังหารดำเนินต่อเนื่อง มีการเสริมกำลัง Phalangist เข้ามาเพิ่ม
- มีรายงานการข่มขืนและทรมานก่อนฆ่า
- ผู้ชายหลายสิบคนถูกรวบรวมไปประหารที่ลานกีฬา
- Sharon ยังให้สัมภาษณ์ว่า "ทุกอย่างปกติ"
18 กันยายน เช้า
- Phalangist ถอนกำลังออกจากค่าย
- นักข่าวเข้าไปพบศพนับร้อยกระจายทั่วค่าย
- ข่าวแพร่ไปทั่วโลก เกิดการประท้วงขนาดใหญ่
การตอบสนองของโลก
ในอิสราเอล
- 400,000 คน ประท้วงที่ Tel Aviv - การประท้วงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอล
- ตั้ง Kahan Commission สอบสวนเหตุการณ์
ผลการสอบสวน (กุมภาพันธ์ 1983)
- Sharon มี "ความรับผิดชอบทางอ้อม"
- แนะนำให้ Sharon ลาออกจากรัฐมนตรีกลาโหม
- ไม่มีการดำเนินคดีอาญากับผู้ใด
นานาชาติ
- UN ประณามเหตุการณ์ว่าเป็น "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
- เกิดการประท้วงในหลายประเทศ
- แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นรูปธรรม
ผลกระทบและบทเรียน
1. ความยุติธรรมที่ไม่มีวันมาถึง
- ไม่มีผู้ใดถูกตัดสินจำคุก
- Sharon กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอลในปี 2001
- Elie Hobeika (หัวหน้า Phalangist) เป็นรัฐมนตรีเลบานอน
2. บาดแผลที่ไม่มีวันหาย
- ครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการชดเชยหรือคำขอโทษ
- เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวในตะวันออกกลาง
- ตอกย้ำความเกลียดชังระหว่างกลุ่มต่างๆ
3. บทเรียนสำหรับมนุษยชาติ
- แสดงให้เห็นอันตรายของความเกลียดชังทางเชื้อชาติและศาสนา
- ความล้มเหลวของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ
- ความสำคัญของการปกป้องพลเรือนในความขัดแย้ง
สรุป
Sabra และ Shatila ไม่ใช่แค่ตัวเลขในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ถูกทำลายด้วยความเกลียดชัง เป็นบทเรียนว่าเมื่อโลกเลือกที่จะหันหลัง โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นได้
40 ปีผ่านไป แต่บาดแผลยังคงอยู่ ความยุติธรรมยังคงหายไป และคำถามยังคงค้างคา - เราจะป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อย่างไร?
ในโลกที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป การจดจำ Sabra และ Shatila คือการเตือนใจว่า ทุกชีวิตมีคุณค่า และความเป็นมนุษย์ของเราวัดกันที่การปกป้องผู้ที่อ่อนแอที่สุด